รีวิว NOPE
รีวิว NOPE เรื่องย่อ
เรื่องราวของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห้งแล้งลึกเข้าไปในเวิ้งหุบเขาและโดดเดี่ยวของรัฐแคลิฟอร์เนีย พวกเขาได้กลายเป็นพยานที่ได้ค้นพบเหตุการณ์แปลกประหลาดที่หาทางอธิบายไม่ได้ รู้แค่เพียงว่า..มันพิศวงและงงงวยสำหรับพวกเขา และยังไร้คำตอบว่า “มัน” คืออะไรกันแน่? ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์ รีวิวหนัง
ใน ‘NOPE’ คราวนี้ รีวิวหนังใหม่แนะนำจอร์แดน พีล เลือกที่จะทะเยอทะยานด้วยการอัปสเกลจากหนังเล็ก ๆ ที่เน้นงานด้านเรื่องราวและภาพที่เรียบง่าาย มาสู่ภาพยนตร์ที่ฟอร์มใหญ่กว่าเดิม เพราะชื่อชั้นของพีลก็ถือว่าเริ่มจะมีชื่อในฐานะผู้กำกับยุคใหม่ฝีมือแน่นแล้วล่ะ ยูนิเวอร์แซล พิกเจอร์ส ( Universal Pictures ) เลยคงยอมให้เขาจัดหนักกับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างถนัดถนี่กว่าเดิม แถมยังเล่นของใหญ่ด้วยการเอากล้องฟิล์ม IMAX มาใช้ถ่ายทำบางช็อตในหนัง รวมกันถึง 46 นาที
( บวกกล้องฟิล์ม Panavision 65 มม.) และยังได้ แดเนียล คาลูยา (Daniel Kaluuya) นักแสดงฝีมือระดับรางวัลออสการ์ ที่เคยร่วมงานกับพีลมาแล้วใน ‘Get Out’ กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง
แน่นอนว่าชื่อห้วนทั้งที เรื่องราวใน ‘NOPE’ ก็เฮี้ยนหนักไม่แพ้กัน เพราะว่าด้วยเรื่องราว ที่เกิดขึ้นหลังจากหลังจากมีวัตถุบางอย่างหล่นลงมาจากฟากฟ้า จนทำให้ โอทิส เฮย์วูด (Keith David) เจ้าของฟาร์ม ม้าเฮย์วูด ที่ฝึกม้าเพื่อเอาไว้ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์ ตั้งอยู่ในหุบเขาเขตอากัว ดุลเซ รัฐแคลิฟอร์เนีย เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา ทำให้พี่น้องทายาทอย่าง โอเจ เฮย์วูด (Daniel Kaluuya) พี่ชายแสนเฉยเมย และ เอเมอรัล เฮย์วูด (Keke Palmer) น้องสาวสุดร่าเริง ต้องกลับฟาร์มมารับช่วงกิจการแบบไม่ทันตั้งตัว
วันหนึ่ง โอเจได้พบกับเรื่องราวแปลก ๆ อีกครั้ง เอเมอรัลและเขาจึงต้องการจะเก็บภาพวัตถุปริศนานี้เอาไว้ เพื่อจะได้เอาไปขาย เธอได้รับความช่วยเหลือจาก แองเจิล ทอเรส ( Brandon Perea ) พนักงานขายอุปกรณ์ไฟฟ้า และ แอนท์เลอร์ ฮอยส์ (Michael Wincott) นักถ่ายทำสารคดีชื่อดัง นักเล่นกล้องฟิล์มตัวยง ในการไล่เก็บภาพบางสิ่งบางอย่างบนฟากฟ้า
ในขณะที่ ริกกี ‘จูพ’ ปาร์ก (Steven Yeun) เจ้าของสวนสนุกคาวบอย จูปิเตอร์ส เคลม (Jupiter’s Claim) ก็เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย ทั้งหมดต้องเผชิญอะไรบางอย่างที่ ‘ไม่’ สามารถมองเห็นได้ง่าย ๆ เรื่องราวเบื้องหลังที่คาด ‘ไม่’ ถึง และดูเหมือนว่าจะเป็นภัยคุกคามที่อันตรายจน ‘ไม่’ อาจจะจินตนาการถึงและ ‘ไม่’ อาจต้านทานได้
นอกจากความมหึมาของสเกลของตัวหนังแล้ว สิ่งที่น่าจะเป็นจุดเด่นของหนังเรื่องนี้ก็คือ ตัวหนังดูจะแมสมากขึ้นกว่า 2 เรื่องอย่างชัดเจนเลยครับ แต่มันก็แปลกตรงที่ ถ้าคุณเป็นแฟนคลับหนังของ จอร์แดน พีล ก็ย่อมจะคาดหวังพล็อตเรื่องเฮี้ยน ๆ จังหวะเขย่าขวัญชวนเหวอ และพล็อตที่คัลต์ในระดับหนึ่งใช่ไหมครับ แต่กลายเป็นว่า
ถ้าเทียบกับทุกเรื่อง หนังเรื่องนี้กลับดูง่ายสุดเลยครับ เพราะด้วยหน้าหนังที่ขายความแปลกประหลาดมาตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่ได้ตั้งธงว่าจะเป็นหนังอินดี้ขนาดนั้น แม้คนดูจะคาดหวังแบรนด์ จอร์แดน พีล ผู้กำกับสายเฮี้ยนที่มีไอเดียเฉพาะตัวแบบจ๋า ๆ ไปแล้วก็ตาม
เพราะแม้ว่าตัวหนังจะขายความเป็น IMAX ซึ่งปกติก็จะผูกขาดอยู่กับหนังระดับบล็อกบัสเตอร์ซะเป็นส่วนใหญ่
การมีหนังอินดี้พล็อตคัลต์สุดเบอร์ขนาดนี้ได้ถ่ายและฉายด้วยระบบ IMAX ก็เลยเป็นเรื่องที่แปลกและน่าสนใจมาก แต่อย่างที่บอกครับ แม้ว่ามันจะยังคงเป็นหนังอินดี้อยู่ แต่ก็ต้องบอกว่าค่อนไปทางดูง่ายกว่าทุก ๆ เรื่อง เพราะด้วยความที่ตัวเนื้อเรื่องถูกเล่าแบบ Old School มาก ๆ นั่นก็คือการเลือกที่จะไม่เปิดเผยสิ่งลี้ลับออกมาเลยในตอนแรก (Nope) ก่อนที่ตัวหนังจะค่อย ๆ หยอดความสงสัยใคร่รู้
บีบให้คนดูค่อย ๆ รู้สึกถึงภัยคุกคามสุดน่ากลัวที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา แม้จะมีฉากโหด ๆ อยู่ประมาณหนึ่ง แต่ก็เป็นการเน้นการสร้างอารมณ์ระทึกขวัญเป็นส่วนใหญ่ จนชวนให้นึกถึงฉลามใน ‘Jaws’ (1975) ที่ไม่ได้โผล่ตัวมาให้เห็นในครึ่งแรกของหนังได้อยู่เหมือนกัน
แต่ถึงกระนั้น แกนกลางของมันก็ยังคงเป็นหนังคัลต์เฮี้ยน ๆ นะครับ เพราะตัวหนังถูกเล่าด้วยจังหวะไม่รีบเร่ง และไม่เรียงไทม์ไลน์ ก็เลยทำให้พีลยังมีจังหวะมันมือ ใส่ประเด็นหนัก ๆ ตามรายทาง ทั้งการเสียดสีวัฒนธรรมของอเมริกัน ไล่ตั้งแต่เรื่องของคนดำ ผู้อพยพ จิกกัดวัฒนธรรมบันเทิงฮอลลีวูด และคนทำงานเบื้องหลัง ที่ในหนังกล้าเอาชื่อจริงมาแซะกันแบบโต้ง ๆ เลยไปจิกกัดวัฒนธรรมคอนเทนต์ของโลกยุคนี้ ผ่านพล็อตการพยายามจับภาพยูเอฟโอไปขาย เพราะว่าหิวคอนเทนต์ อยากได้ไวรัล
อยากได้ยอดแชร์เยอะ ๆ แบบชนิดเจ็บลืมลืมตาย ทั้ง ๆ ที่ภัยล้างโลกมาเยือนหน้าบ้านแล้วแท้ ๆ ทั้งหมดนี้สะท้อนผ่านมุกตลกร้ายหน้าตายที่จิกกัดและกวนเบื้องล่างให้ได้ขำแบบลึก ๆ เป็นระยะ ๆ
ก่อนที่ตัวหนังจะเอาคืนด้วยการค่อย ๆ คลายปมทุกข้อสงสัยออกมา ตบท้ายขมวดจบด้วยการพลิกจากความเป็นหนังไซไฟ ความเป็นหนังใหญ่ ๆ แบบ สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ไปสู่จังหวะคัลต์แบบเฮี้ยน ๆ สไตล์ จอร์แดน พีล องก์ที่ 2 – 3 จึงเป็นไฮไลต์สำคัญของเรื่องที่จะค่อย ๆ
คายบทสรุปและที่มาร่วมกันของแต่ละเหตุการณ์ แต่ละตัวละครได้อย่างชวนเหวอแตก คัลต์ และมันมาก ๆ แบบสุดลิ่มทิ่มประตูไปเลย เป็นหนังที่ถ้าใครชอบก็จะชอบไปเลย ส่วนใครที่ไม่ชอบ ก็อาจจะเหวอจนเกลียดเข้าไส้แน่นอน
อีกอย่างก็คือ ผู้เขียนเข้าใจแล้วครับว่าทำไมต้องถ่ายด้วย IMAX เพราะผู้กำกับภาพอย่าง ฮอยต์ ฟาน ฮอยเตมา ( Hoyte Van Hoytema สามารถถ่ายทอดความกว้างใหญ่ของหุบเขา ท้องฟ้าสีคราม ให้กลายเป็นความเวิ้งว้างและไม่น่าไว้วางใจ แถมยังเอื้อให้สร้าง VFX ยูเอฟโอได้แบบใหญ่บึ้มมาก ๆ
( น่าจะใหญ่ที่สุดในบรรดาหนังเอเลียนแล้วมั้ง รวมทั้งการออกแบบเสียงที่เรียกว่าเฉียบขาดจริง ๆ สามารถสร้างบรรยากาศระทึกขวัญขนลุกเกรียวได้ดีมาก พอเอามารวมกัน ตัวหนังก็เลยฉายภาพของยูเอฟโอที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความอีพิกชวนตื่นตา แต่ก็ยังสามารถถ่ายทอดความคัลต์ แปลกประหลาด และความกระอักกระอ่วนชวนอึดอัดในแบบฉบับของ จอร์แดน พีล ได้ในเวลาเดียวกัน
สรุป
รวม ๆ แล้ว ‘ Nope ’ คือหนังแนว Sci-Fi ผสม Horror ที่สร้างบรรยากาศความระทึกขวัญแบบไต่ระดับได้น่ากลัวมาก ๆ เป็นหนังที่เดินเรื่องแบบเน้นความอีพิกของภาพและเสียง ที่ไม่ใช่แค่เล่าให้ยูเอฟโอเป็นตัวร้าย แต่มันยังเป็นหนังคัลต์เฮี้ยน ๆ ที่สะท้อนมุมมองของผู้คนได้อย่างแปลกและเปี่ยมเสน่ห์ เล่าเรื่องได้สนุก
มีมุกฮาแทรก ชวนให้สงสัยตลอด ไม่ได้ดูยากจนปวดหัว แต่ก็ไม่ได้เล่นท่าง่าย เพราะไม่รู้จะเดาบทสรุปยังไง และเป็นหนังที่ ‘ห้ามสปอยล์’ เด็ดขาด จะดูเอาเรื่องเอามันก็พอไหว จะดูเอาความเฮี้ยนก็ได้ไม่แพ้กัน ถือเป็นประสบการณ์นาน ๆ ทีที่ต้องลองมาสัมผัสด้วยตัวเองเท่านั้นครับ หนังแบบนี้ ฟังคลิปสปอยล์หนังในยูทูบเล่าให้ตายยังไงก็ไม่เข้าใจหรอก
NOPE ไม่ใช่หนังดูยาก หนังเคลียร์ในตัวเองเท่าที่เรื่องราวจะเอื้ออำนวย เป็นลีลาใหม่ของ Jordan Peele ที่อาจไม่ดุดันเท่า Get Out หรือ Us แต่ก็ไต่ระดับความน่าสนใจและลุ้นระทึกได้ดี มีองค์ประกอบที่น่าสนใจมากพอ คนที่ชอบการตีความ เก็บรายละเอียดมาขบคิดต่อ น่าจะชอบเป็นพิเศษ
หากใครยังไม่ได้ดูและกำลังวางแผนไปดู แนะนำดูจอ IMAX เพื่อประสบการณ์ ยืนมองท้องฟ้าไม่เป็นเช่นเคย